ถุงยางอนามัยมักเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม เนื่องจากหลายคนกลัวหรือเขินอายการไปซื้อถุงยางอนามัยมาใช้ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมาที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่มีการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ทำให้มีโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร

ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ ถุงยางอนามัยในสมัยก่อนเคยทำจากหนังธรรมชาติ เช่นหนังแกะและยางพารา แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะทำมาจากลาเท็กซ์หรือโพลียูรีเทน

ลาเท็กซ์ คือวัสดุที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการทำถุงยางอนามัย เพราะเชื้อไวรัสไม่สามารถผ่านทะลุไปได้ และราคาถูก หาซื้อง่าย ทว่ามีข้อเสียคือน้ำมันอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดได้ และหลายคนอาจเกิดอาการแพ้

โพลียูรีเทน คืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้ลาเท็กซ์ ในท้องตลาดมีอยู่ยี่ห้อหนึ่งวางขาย ทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง

ข้อดีของถุงยางอนามัย

  • หาซื้อง่าย ราคาถูกและปลอดภัย
  • ลดการบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์
  • ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร
  • มีหลายกลิ่น หลายสี สามารถเพิ่มพูนความสุขระหว่างร่วมรักได้ง่าย

ประเภทของถุงยางอนามัย

  • ถุงยางอนามัยแบบมาตรฐาน
  • ถุงยางอนามัยแบบบาง
  • ถุงยางอนามัยผิวไม่เรียบ
  • ถุงยางอนามัยแบบมีรสหรือกลิ่น
  • ถุงยางอนามัยช่วยชะลอการหลั่ง

ขนาดของถุงยางอนามัย

  • ขนาด 49 มิลลิเมตร (ขนาดรอบวงประมาณ 11-12 ซม. หรือ ประมาณ 4.5 นิ้ว)
  • ขนาด 52 มิลลิเมตร (ขนาดรอบวงประมาณ 12-13 ซม. หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
  • ขนาด 54 มิลลิเมตร (ขนาดรอบวงประมาณ 13-14 ซม. หรือ ประมาณ 5.5 นิ้ว)
  • ขนาด 56 มิลลิเมตร (ขนาดรอบวงประมาณ 14-15 ซม. หรือ ประมาณ 6 นิ้ว)

วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง

  1. ใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ช่องคลอดหรือทางปาก
  2. ใช้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ โดยใส่ถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ระหว่างใช้ ถ้าลื่นหลุดหรือแตกต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันที
  3. นำถุงยางอนามัยออกจากซองอย่างระมัดระวัง โดยรีดถุงยางอนามัย ไปไว้ที่มุมใดมุมหนึ่ง ฉีกซองโดยระวังมิให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด
  4. บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมออก มิฉะนั้นจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกได้
  5. รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบปลาย ให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อยๆรูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวจนสุดโคนอวัยวะเพศ
  6. ถ้าใช้ถุงยางอนามัยแล้วรู้สึกฝืด ให้หยดสารหล่อลื่นหรือเจลชนิดละลายในน้ำ 1-2 หยด บริเวณด้านนอกถุงยางอนามัย จะช่วยให้รู้สึกราบรื่นขึ้น ห้ามใช้โลชั่น น้ำมันทาผิว หรือครีมทาผม กับถุงยางอนามัย เพราะผลิตภันฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม จะทำให้ถุงยางอนามัยแตก และรั่วซึมได้
  7. หลังเสร็จกิจให้ถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว
  8. ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วควรห่อให้มิดชิด แล้วทิ้งในถังขยะ ห้ามใช้ซ้ำ

ใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น ปลอดภัยกว่า จริงหรือไม่?

หลายคนทราบดีว่า การป้องกันที่ดีที่สุดทางหนึ่งคือการสวมถุงยางอนามัย เลยทำให้มีคนกลุ่มหนึ่งคิดว่า การสวมถุงยางอนามัยสองชั้น สามารถป้องกันได้มากขึ้น จริงๆแล้ว หากมีเพศสัมพันธ์แนะนำว่าให้ใส่ถุงยางชั้นเดียว จะปลอดภัยและถูกต้องที่สุด การสวมถุงยางอนามัยสองชั้นจะทำให้เกิดการเสียดสีในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้ถุงยางอนามัย ฉีกขาดหรือรั่วซึมได้ เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง

สาเหตุที่ทำให้ถุงยางแตก

  • การเลือกใช้ถุงยางอนามัยผิดขนาด
  • การใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุแล้ว
  • ใช้ถุงยางอนามัยแบบไม่มีสารหล่อลื่น หรือสารหล่อลื่นไม่พอ
  • การแกะบรรจุภัณฑ์ของถุงยางที่ผิดวิธี หรือใช้ของมีคมในการแกะ
  • มีการเก็บรักษาถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บในที่ที่โดนแสงแดด หรือความร้อน
  • ใช้สารหล่อลื่นแบบน้ำมัน สารหล่อลื่นชนิดน้ำมันจะทำให้ยางของถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ
  • สอดใส่ลำบาก หากสอดใส่ขณะร่วมเพศลำบาก ควรใช้ถุงยางอนามัยคุณภาพดีมากหรือเพิ่มสารหล่อลื่น เพื่อลดการเสียดสี

ดังนั้นอย่าละเลยที่จะป้องกันด้วยวิธีง่ายๆโดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยมีประโยชน์มากมาย สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ยังไม่พร้อม และที่สำคัญควรใช้อย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างไม่ต้องกังวล

อ่านบทความอื่นๆ

ติดต่อเรา