โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ โรคนี้พบได้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แปซิฟิกตะวันตก และอเมริกาใต้ รวมถึงประเทศไทย โรคนี้สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
Table of Contents
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย
ประเทศไทยพบการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการป้องกัน และควบคุมโรค ได้แก่
- การเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง
- การรณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน
- การพ่นสารเคมีกำจัดยุงในพื้นที่ ที่พบผู้ป่วย
- การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันโรค และการสังเกตอาการ
- การเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาลในการรับมือกับการระบาด
โรคไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร ?
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการที่พบบ่อยได้แก่
อาการทั่วไป
- ไข้สูงเฉียบพลัน (38-40°C)
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปวดกล้ามเนื้อ และข้อ
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ผื่นแดงตามตัว
- เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
- ปวดท้องรุนแรง
อาการที่รุนแรง
- กดเจ็บชายโครงด้านขวา
- เลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- มีอาการช็อก เช่น กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลง ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตต่ำ วัดชีพจรไม่ได้
ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันทีหากสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
หมายเหตุ
- ผู้ป่วยไข้เลือดออกบางราย อาจไม่มีอาการทั้งหมดที่กล่าวมา
- อาการของโรคไข้เลือดออกอาจคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
- การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โรคไข้เลือดออก สาเหตุเกิดจากอะไร
ไข้เลือดออก เกิดจากการถูกยุงลายที่ติดเชื้อ ไวรัสเดงกี (Dengue virus) กัด เป็นยุงที่มีขนาดตัวเล็ก สีดำ มีลายขาวบนลำตัว ชอบออกหากินในเวลากลางวัน มักพบตามแหล่งน้ำขัง เช่น โถน้ำ รองน้ำใต้กระถาง ยางรถยนต์เก่า เป็นต้น ไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 เมื่อยุงลายกัดผู้ป่วย ไวรัสเดงกีจะเข้าสู่ร่างกายของยุง หลังจาก 8-12 วัน ไวรัสจะเพิ่มจำนวนในยุงจนสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ เมื่อยุงลายกัดคน ไวรัสเดงกีจะเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ถูกกัด หลังจาก 3-15 วัน ผู้ที่ถูกกัดจะเริ่มมีอาการของโรคไข้เลือดออก
เกณฑ์การวินิจฉัยขององค์การอนามัยโลก (WHO)
- มีไข้สูง
- มีเลือดออกง่าย (ทดสอบโดยการรัดแขนแล้วพบจุดเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน)
- มีอาการอย่างน้อย 1 ข้อ ดังนี้
- เจ็บชายโครงขวาเนื่องจากตับโต
- ช็อค (ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเร็ว ปัสสาวะน้อย)
- ตรวจเลือดพบเกล็ดเลือดต่ำ (น้อยกว่า 100,000/ลบ.มม.)
- เลือดข้นขึ้น (Hematocrit > 45%)
การตรวจเพิ่มเติม
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไข้เลือดออก (IgM)
- ตรวจหาแอนติเจนไวรัสเดงกี (NS1 Ag)
- ตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกี (PCR)
ในระยะ 1-2 วันแรกของโรค อาจมีอาการไม่ชัดเจน ผลเลือดอาจปกติ จึงต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและเจาะเลือดซ้ำถ้าอาการไม่ดีขึ้น โรคไข้เลือดออกมีหลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่ไข้เลือดออกแบบไม่รุนแรงจนถึงไข้เลือดออกแบบรุนแรง ซึ่งอาจมีอาการช็อคและเสียชีวิตได้ การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
ป้องกันไข้เลือดออกได้ง่ายๆ ด้วย 5 ป. ปราบยุงลาย
- ปิด ภาชนะเก็บกักน้ำ ให้มิดชิด ป้องกันยุงลายวางไข่
- เปลี่ยน น้ำในภาชนะต่างๆ อยู่เสมอๆ ทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรลูกน้ำยุงลาย
- ปล่อย ปลากินลูกน้ำ เช่น ปลากัด ปลากระดี่หม้อ ในภาชนะใส่น้ำถาวร เช่น อ่างบัว
- ปรับปรุง สิ่งแวดล้อมให้โปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ให้ยุงลายมาเกาะพัก
- ปฏิบัติ ตาม 4 ป. อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
เพิ่มเติม
- ทายากันยุง เมื่ออยู่บริเวณที่มียุงชุกชุม
- สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด
- ติดตั้งมุ้ง ในบ้าน และที่นอน
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไข้เลือดออก
- ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน
การรักษาโรคไข้เลือดออก
ปัจจุบันยังไม่มี ยาที่รักษาโรคไข้เลือดออก โดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่ การรักษาตามอาการ และ การประคับประคอง ให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แนวทางการรักษา ขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงของโรค ดังนี้
กรณีอาการไม่รุนแรง
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะ หายได้เองภายใน 2-7 วัน
- การรักษา มุ่งเน้นไปที่ การลดไข้ และ การป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ยาที่ใช้: พาราเซตามอล (Paracetamol)
- ห้ามใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- การดื่มน้ำ: จิบน้ำเปล่า น้ำเกลือแร่
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 150-200 ซีซี ทุก 1 ชั่วโมง
- กรณีอาเจียนมาก ให้ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ
- ยาที่ใช้: พาราเซตามอล (Paracetamol)
- หมั่นเช็ดตัวเพื่อลดไข้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
กรณีอาการรุนแรง
ผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง หรือ ซึมลงและไม่ค่อยรู้สึกตัว ต้องรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะให้การรักษาโดย การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด อาจต้องให้ยาอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ยาควบคุมความดันโลหิต ยาขับสารน้ำ ผู้ป่วยบางราย อาจต้อง นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
- ผู้ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี วัคซีนไข้เลือดออกชนิดใหม่ที่ใช้ในประเทศไทย (Dengvaxia) ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับกลุ่มคนในวัยนี้
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ระบาดของโรคไข้เลือดออก
- ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค
- บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง
- ผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีนรุนแรง หรือสตรีมีครรภ์
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ภัยเงียบที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ
- โรคที่พบบ่อยในหน้าฝน รู้เท่าทัน ป้องกัน และรักษาได้
ช่องทางการติดต่อ
- ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่
- เปิดบริการทุกวัน
- จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.
- เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 093 309 9988
- แผนที่คลินิก https://g.page/
hugsa-medical?share - จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me
โรคไข้เลือดออก ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย แม้จะยังไม่มีการรักษาจำเพาะ แต่การวินิจฉัยที่รวดเร็ว และการรักษาประคับประคองที่เหมาะสมสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมาก การป้องกันโรคโดยการควบคุมยุงลาย และการฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันอาการป่วยด้วยไข้เลือดออกได้ และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้