เอชไอวี หรือ Human Immunodeficiency Virus (HIV) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ โดยเชื้อไวรัสเอชไอวีจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะก่อให้อาการของผู้ติดเชื้อพัฒนาไปเป็นระยะโรคเอดส์เต็มขั้นในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่สามารถทำการรักษาเอดส์ให้หายขาดได้ ดังนั้นหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีรู้ตัวเร็วและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยไม่ให้อาการลุกลามไปสู่ระยะเอดส์ได้
จากสถิติของกรมควบคุมโรคในปี 2561 ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) รายใหม่ประมาณ 6,400 คน เฉลี่ยวันละ 17 คน และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 480,000 คน โดยพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยพบว่าตนติดเชื้อมีมากถึง 451,384 คน และที่เหลือคาดว่ายังไม่ทราบว่าตนติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่า “ไวรัสเอชไอวี” เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ทั้งในประเทศไทยเองและทั่วโลกยังไม่สามารถควบคุมการติดต่อได้ 100% โดยปัจจุบันเชื้อเอชไอวีถูกค้นพบจากทั่วโลกมากกว่า 10 สายพันธุ์ สามารถแบ่งสายพันธ์ุดั้งเดิมได้เป็นตามลักษณะทางพันธุกรรมออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรก HIV-1 ที่พบได้มากในประเทศแถบ ยุโรปสหรัฐอเมริกา และแอฟริกากลาง ชนิดที่สอง HIV-2 ส่วนใหญ่พบมากในแถบแอฟริกาตะวันตก และประเทศอินเดีย
Table of Contents
การติดต่อของเชื้อไวรัสเอชไอวี
เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสสารคัดหลั่งในร่างกายของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ทั้งจากการสัมผัสเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวภายในช่องคลอด รวมไปถึงน้ำนมของมารดา ซึ่งการติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- การใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น (ผู้ติดยาเสพติด)
- การสัก หรือ เจาะร่างกาย ด้วยเครื่องมือที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
- การติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์
- การติดต่อจากมารดาที่ให้นมกับทารก
อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
เมื่อเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยในระยะเวลาประมาณ 2 ถึง 4 สัปดาห์ เชื้อไวรัสจะเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจนอ่อนแอลง โดยแสดงอาการลักษณะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หลังจากนั้นอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ และจะไม่แสดงอาการอีกในระยะเวลาหลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้ง่ายและเชื้อเอชไอวีจะค่อย ๆ โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำลายเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ส่งผลให้การแสดงอาการของผู้ติดเชื้อแต่ละบุคคลจะมีความช้าเร็วแตกต่างกันตามความแข็งแรงของร่างกาย รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อายุ สุขภาพ และการตรวจรักษาที่ทันท่วงที เป็นต้น จึงทำให้ร่างกายของผู้ติดเชื้อเอชไอวีบางคน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยไม่มีอาการของโรคที่ชัดเจน
การติดเชื้อเอชไอวีแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
เมื่อผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ร่างกายจะมีความผิดปกติและแสดงอาการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหลังการติดเชื้อ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะติดเชื้อปฐมภูมิ
ระยะติดเชื้อปฐมภูมิ หรือ ระยะตั้งต้นเมื่อติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Asymptomatic stage) ระยะนี้จะเป็นระยะแรกของผู้ติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอาการผิดปกติน้อยมาก หากมีอาการจะมีความคล้ายกับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ มีไข้ต่ำ น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต และถ่ายอุจจาระเหลว เป็นต้น และอาการดังกล่าวจะหายได้เองในช่วง 2 ถึง 4 สัปดาห์ จึงถือเป็นระยะที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าตนติดเชื้อเอชไอวีและทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก
ระยะติดเชื้อเรื้อรัง
ระยะติดเชื้อเรื้อรัง หรือ ระยะการติดเชื้อฉวยโอกาส (Symptomatic HIV Infection) ระยะนี้จะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีอาการที่เห็นได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นระยะที่เชื้อไวรัสจะแบ่งตัวเพิ่มปริมาณในต่อมน้ำเหลืองและม้าม ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ส่งผลให้ CD 4 positive T-cell ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโอกาสในการติดเชื้อฉวยโอกาสได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการเรื้อรังนานมากกว่า 1 เดือน โดยที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน เช่น ท้องเสีย มีไข้ น้ำหนักลด ผิวหนังอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต มีเชื้อราในปาก เป็นเริมชนิดลุกลาม เป็นต้น ซึ่งระยะการติดเชื้อฉวยโอกาสนี้ผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่อาการจะลุกลามสู่ระยะเอดส์ในที่สุด
ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
ระยะนี้เป็นระยะของ โรคเอดส์ ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะก่อนหน้านี้ยังไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ ระยะนี้เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ป่วยถูกทำลายเสียหายอย่างหนักและสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น เนื่องจากปริมาณของ CD 4 positive T-cell ต่ำมากกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตร จึงทำให้ร่างกายติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างรุนแรง เช่น ท้องร่วงเรื้อรัง อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว มีไข้เรื้อรัง วัณโรคที่ปอด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการทางสมอง และมะเร็งชนิดต่าง ๆ

วิธีการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่สามารถค้นพบแนวทางการรักษาเอชไอวี (HIV) ให้หายขาดได้ ซึ่งทำได้เพียงรักษาด้วยการใช้ยายับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือยาต้านเชื้อไวรัส โดยที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตลอดชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ด้วยการใช้ยาหลายชนิดร่วมกันในการรักษาที่ต่อเนื่องมากกว่า 25 ชนิด เรียกว่า ยาต้านรีโทรไวรัส หรือ Antiretroviral drugs : ARV ซึ่งผู้ป่วยจะต้องติดตามผลการรักษาด้วยการเจาะเลือดตรวจหาปริมาณเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ และการรักษาอาการของโรคอยู่ในระยะไม่ลุกลามไปถึงระยะเอดส์ได้ แพทย์จะเลือกใช้ยารักษาตามระยะของการติดเชื้อรวมถึงอาการของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นเพื่อป้องกันการลุกลามรุนแรงและเพื่อการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยควรตรวจวินิจฉัยโรคให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยหากคุณกำลังมองหาคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาเอชไอวี เชียงใหม่ ฮักษา คลินิก กลางเวียง ถือเป็นอีกหนึ่งศูนย์รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่พร้อมให้คำแนะนำโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ
วิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัก หรือ เจาะร่างกาย ด้วยเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
- ตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพก่อนสมรสและก่อนตั้งครรภ์
- ใช้ยาต้านก่อนเสี่ยงรับเชื้อเอชไอวี Pre-Exposure Prophylaxis หรือ PrEP สำหรับผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูง
- ใช้ยาต้านหลังเสี่ยงรับเชื้อเอชไอวี Post -Exposure Prophylaxis หรือ PEP สำหรับต้านไวรัสภายในเวลา 72 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสเชื้อ
ข้อควรปฏิบัติเมื่อติดเชื้อเอชไอวี
- ปรึกษาแพทย์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคให้มากที่สุด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่น
- รับยาต้านไวรัส (Antiviral therapy) ตรงตามกำหนด
- ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง
และเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมกันลงนามความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมเพื่อยุติปัญหาเอชไอวีในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างองค์กรภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อลดการแพร่เชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการตามยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 โดยกำหนดเป้าหมายไว้ดังนี้ คือ ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลง จึงถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีรวมถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีในเชียงใหม่ ได้รับการรักษาเอชไอวีและเอดส์ที่ทั่วถึงและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สำหรับประชาชนชาวเชียงใหม่ที่ต้องการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เอชไอวี เอดส์ ฯลฯ หรือต้องการรับยาต้านฉุกเฉิน ยาเพร็พ (PrEP) ยาเป๊ป (PEP) รวมไปถึงเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทั่วไปต่างๆ ฮักษา คลินิก กลางเวียง เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. เพื่อมอบคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้กับชาวเชียงใหม่อย่างคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์ พร้อมทั้งการบริการที่ดีแก่ผู้ป่วยทุกท่านให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
ติดต่อเรา
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาเอชไอวีที่ Hugsa Clinic เชียงใหม่
กับเราที่นี่ Line id @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรติดต่อ 093-309-9988
เปิดบริการทุกวัน 10:00-18:00 น.
แผนที่คลินิก https://g.page/hugsa-medical?share
ข้อมูลเพิ่มเติมเว็บไซต์ https://cmmedicalclinic.com
จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me