Table of Contents
โรคเริม คืออะไร?
โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า Herpe Simplex Virus (HSV) ทำให้เกิดเริมได้ที่บริเวณผิวหนัง และในส่วนชั้นเยื่อเมือกของร่างกายโดยการสัมผัสผู้ที่มีเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือทางอ้อม เช่น การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ของร่วมกัน รับประทานอาหารร่วมกัน หรือการมีเพศสัมพันธ์ เริมเป็นโรคที่สามารถรักษาหายได้(แต่ไม่หายขาด) สามารถเกิดโรคซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ่ โรคเริมสามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะมีอยู่ 2ชนิดด้วยกัน คือ
- Herpes simplex virus-1 (HSV-1)
- Herpes simplex virus-2 (HSV-2)
สาเหตุของเริม
เริมมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) เชื้อไวรัสดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. Herpes simplex virus-1 (HSV-1)
ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณปาก สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การโดนแผล ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การรับประทานอาหารร่วมกัน การจูบ การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เชื้อตัวนี้ก่อให้เกิดโรคบริเวณปาก ริมฝีปาก ใบหน้า ช่องปาก ถ้าหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวได้
2. Herpes simplex virus-2 (HSV-2)
ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศทั้งหญิงและชาย เช่น ถุงอัณฑะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเป็นการสัมผัสกับเชื้อไวรัสโดยตรง
อาการของโรคเริม
ลักษณะอาการของโรคเริมนั้น จะเริ่มจาก มีตุ่มน้ำใสขึ้นในบริเวณที่ติดเชื้อ ได้แก่ ปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา มีอาการเจ็บปวด แสบที่บริเวณแผล หากเป็นการติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการค่อนข้างรุนแรงและหายช้า แต่ถ้าหากเป็นการติดเชื้อซ้ำ อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เร็วกว่า อาจมีระยะฟักตัวนานประมาณ 2-20 วัน ก่อนจะมีอาการแสดงออกมา แต่เมื่อหายแล้วเชื้อก็ยังสามารถเข้าไปฝังตัวในปมประสาทใต้ผิวหนังของเรา และสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกเมื่อหากเรามีสุขภาพอ่อนแอ หรือพักผ่อนน้อย เพราะเริมชอบเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
โรคเริมรักษาหายขาดไหม ?
โรคนี้ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด เมื่อเริ่มมีการติดเชื้อแล้วเชื้อนี้ก็จะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต โดยเชื้อไวรัสไปสะสมอยู่ที่ปมประสาท และเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ก็จะออกมาแสดงอาการที่ผิวหนัง แต่อาการเริมส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์
การเป็นเริมครั้งแรกมักเป็นครั้งที่เจ็บที่สุดและเป็นอยู่นานที่สุด การติดเชื้อครั้งต่อไปจะมีความรุนแรงลดลง ระยะเวลาและจำนวนตุ่มน้ำก็ลดลงด้วย แต่เริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ ซึ่งก็มีการรักษาที่ช่วยให้ไม่เกิดการเป็นซ้ำบ่อยเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
- มีตุ่มพอง ลุกลามมาก
- มีไข้สูง ไข้ไม่ลดภายใน 1 – 3 วัน (ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ)
- มีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะมาก แขน ขาอ่อนแรง ชัก และ/หรือโคม่า
- มีตุ่มน้ำเป็นหนอง ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา
การป้องกันโรคเริม
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายโดยตรงกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส
- ไม่ใช้สิ่งของที่อาจแพร่เชื้อไวรัสร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้ว ผ้าเช็ดตัว ช้อนส้อม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง
- สำหรับผู้ที่เคยติดโรคเริม ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่อาจจะทำให้เกิดโรคซ้ำได้
การดูแลรักษาโรคเริม
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน
- รักษาสุขอนามัย ป้องกันการติดเชื้อในเนื้อเยื่อ และอวัยวะ และสู่ผู้อื่น
- แยกของใช้ เครื่องใช้ ส่วนตัว รวมทั้งแก้วน้ำและช้อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- รักษาความสะอาดบริเวณตุ่มพอง และเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- ในรายที่เกิดโรคบริเวณอวัยวะเพศ ควรสวมใส่เสื้อผ้า กางเกงในที่หลวมสบาย และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
- กินยาบรรเทาปวด พาราเซตามอล และยาบรรเทาอาการคัน โดยปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเองเสมอเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
หากพบว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคเริม หรือ พบเจอการเริ่มต้นลักษณะใกล้เคียงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเริมควรรีบทำการตรวจและรักษาโดยเร็วที่สุด โดยหนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเขินอายในการเข้ารับการตรวจ สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ติดต่อเรา
- สอบถามเพิ่มเติมกับเราที่นี่ Hugsa Clinic
- Line id
@hugsaclinic
- โทร
093 309 9988
- เปิดทุกวัน
10:00-18:00 น.
- แผนที่คลินิก
https://g.page/hugsa-medical?share
- เว็บไซต์
www.hugsaclinic.com
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me