โรคเบาหวาน โรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
Table of Contents
โรคเบาหวานคืออะไร ?
โรคเบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่เกิดจากความ ผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินสุลิน (Insulin) ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีอินสุลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินสุลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินสุลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินลดลง (หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินสุลิน) จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
โรคเบาหวานมีกี่ชนิด ?
ล่าสุดในปี ค.ศ. 2019 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แบ่งชนิดเบาหวานใหม่เป็น 6 ชนิด ดังนี้
- เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes)
เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เบต้าของตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่ผลิตอินซูลิน มักพบในคนอายุน้อย เบาหวานชนิดนี้สัมพันธ์กับพันธุกรรม และปัจจัยสิ่งแวดล้อม การรักษาต้องใช้ยาอินซูลินเป็นหลัก
- เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes)
เป็นเบาหวานชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการขาดอินซูลิน อาการมักค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะอ้วน หรือน้ำหนักเกิน หรือมีไขมันสะสมอวัยวะภายใน (visceral adiposity) เบาหวานชนิดนี้มักพบมากในผู้ใหญ่ (วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง
- เบาหวานชนิดผสม (Hybrid forms of diabetes) ประกอบด้วย
- เบาหวานที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน (Slowly evolving immune – mediated diabetes) ช่วงแรกผู้ป่วยจะมีลักษณะคล้ายเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ตับอ่อนจะค่อย ๆ ถูกทำลายภูมิคุ้ม จนผู้ป่วยต้องใช้อินซูลินภายใน 6 – 12 เดือน
- เบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Ketosis – prone type 2 diabetes)
- เบาหวานที่ระบุชนิดชัดเจน (Other specific types)
- เบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของยีนที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เบต้าของตับอ่อน หรือ การทำงานของอินซูลิน
- เบาหวานที่เกิดจากโรคของตับอ่อน เช่น ภาวะตับอ่อนอักเสบภาวะเหล็กเกินที่สะสมในตับอ่อน (hemochromatosis)
- เบาหวานที่เกิดจากโรคทางต่อมไร้ท่อ เช่น โรคคุชชิ่ง โรคโครเมกะลี
- เบาหวานที่เกิดจากยา หรือ สารเคมี เช่น ยาสเตียรอยด์
- เบาหวานที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หัดเยอรมัน
- เบาหวานที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น ภูมิคุ้มกันต่อตัวรับอินซูลิน
- กลุ่มโรคทางพันธุกรรมที่พบเกี่ยวข้องกับเบาหวานด้วย
- เบาหวานที่ไม่สามารถแยกชนิดได้
ใช้กับเบาหวานที่เพิ่งตรวจพบ จึงยังไม่สามารถวินิจฉัยแยกชนิดได้
- ภาวะน้ำตาลสูงที่ตรวจพบในช่วงระหว่างตั้งครรภ์
เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยระหว่างการตั้งครรภ์ เกิดจากระหว่างตั้งครรภ์มีความดื้อของอินซูลินเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเอสเตรเจน ฮอร์โมนเฮชซีจี จากรก เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทั้งมารดาและทารก ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจและรับการรักษาอย่างใกล้ชิด
อาการของโรคเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อย
- คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
- หิวบ่อย รับประทานจุแต่น้ำหนักลดลง
- มีอาการอ่อนเพลีย
- ถ้าเป็นแผลจะหายยาก
- ติดเชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอด
- ชาปลายมือ ปลายเท้า
การวินิจฉัยเบาหวาน
- การตรวจพบน้ำตาล ขณะอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร*
- การตรวจพบระดับน้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังรับประทานน้ำตาล 75 กรัม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร*
- การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) มากกวาหรือเท่ากับ 6.5 %
- ในผู้ป่วยที่มีอาการของน้ำตาลสูง ร่วมกับตรวจพบน้ำตาลสูงมากกว่าเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร*
การรักษาโรคเบาหวาน
เบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดได้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงทำงานประจำได้ตามปกติหากแต่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้มาก
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคเบาหวาน
การควบคุมอาหาร
การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีการควบคุมอาหารมีความสำคัญมากในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และถือเป็นการรักษาหลักที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายควรเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้อย่างไม่จำกัดจำนวนได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว เป็นต้น อาหารบางชนิดที่สามารถรับประทานได้ในปริมาณจำกัด เช่น ผลไม้ แนะนำให้รับประทานผลไม้ชนิดหวานน้อย เช่นฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร เป็นต้น
การออกกำลังกาย
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานการออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาโรคเบาหวานที่สำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้อินสุลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำว่าควรออกกำลังกายชนิดแอโรบิค เช่น วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายชนิดต้านน้ำหนัก เช่น การยกเวท เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาทีต่อวัน 2 วันต่อสัปดาห์ และไม่ควรนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนอนเล่นพักผ่อนเกิน 90 นาที หากเกินควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบท
การใช้ยา
การรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาจากชนิดของโรคเบาหวาน เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 ควรรักษาโดยการฉีดอินสุลินเท่านั้น ส่วนในเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะพิจารณาตามความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน โอกาสการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ และเศรษฐานะของผู้ป่วยเพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกใช้ยา
ขอบคุณข้อมูลจาก : medparkhospital, chulabhornhospital, thonburihospital
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ติดต่อเรา
- สอบถามเพิ่มเติมกับเราที่นี่ Hugsa Clinic
- Line id
@hugsaclinic
- โทร
093 309 9988
- เปิดทุกวัน
10:00-18:00 น.
- แผนที่คลินิก
https://g.page/hugsa-medical?share
- เว็บไซต์
www.hugsaclinic.com
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me