นอกจากความกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนแล้ว ยังมีความกังวลว่าหลังจาก “ฉีดวัคซีนโควิด” ร่างกายของเราจะมี “ภูมิคุ้มกัน” เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน? หลังจากที่เริ่มมีการแชร์การตรวจภูมิโควิดในโซเชียลมีเดีย และพบว่าภูมิคุ้มกันค่อนข้างต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในหลายเคส ทำให้การตรวจภูมิคุ้มกันเป็นอีกหนึ่งบริการที่ประชาชนกำลังมองหาเพื่อเข้าตรวจภูมิคุ้มกันของตัวเอง

ตรวจภูมิคุ้มกันโควิด คืออะไร ?

การตรวจภูมิคุ้มกันโควิด เป็นการตรวจระดับ “ภูมิคุ้มกัน” ในร่างกาย ซึ่งสามารถตรวจได้ทั้งก่อนและหลังรับวัคซีน หรือตรวจหลังติดเชื้อ ซึ่งการตรวจภูมิหลังฉีดวัคซีน จะทำสำหรับผู้ที่ต้องการทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิในร่างกาย

การตรวจภูมิคุ้มกัน มีแบบไหนบ้าง ?

การตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนที่มีบริการจากโรงพยาบาลหรือคลินิคต่างๆ ซึ่งพบว่ามีการตรวจ 3 แบบหลักในประเทศไทย ที่มีเทคนิคที่ใช้ในการตรวจภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน และใช้เวลาต่างกัน ดังนี้

1.Plaque Reduction Neutrazation Test (PRNT)

การตรวจแบบ PRNT คือเจาะเลือด ปั่นแยกซีรั่ม ทำการเพาะเชื้อบนเพลท จากนั้นจะหยอดซีรั่ม และเจือจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่สามารถทำลายเชื้อไปได้ครึ่งหนึ่ง และหยุด ซึ่งตรงนี้จะบอกได้ว่าภูมิคุ้มกันขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยวิธีการนี้ ต้องทำภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ที่มีเชื้อไวรัส และเจ้าหน้าที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น ใช้เวลาตรวจ 7 วัน

2. ELISA

การตรวจแบบอิไลซ่า (ELISA) เป็นวิธีตรวจผ่านการเจาะเลือด เพื่อตรวจหาได้ทั้งแอนติเจน และแอนติบอดี ชนิด IgG และ IgM (แอนติบอดี้ 2 ใน 5 ชนิดที่ทําหน้าที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกาย) ใช้เวลาตรวจ 24-36 ชั่วโมง

3. Covid19 Antibody Level Test

การตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณแอนติบอดี้ต่อเชื้อโควิด (Covid19 Antibody Level Test) จะเป็นการหาระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อ SARS-CoV2 ในส่วนของ Spike Protein ที่เป็นส่วนสำคัญในการนำเชื้อเข้าสู่เซลล์ และทำให้เกิดการติดเชื้อ ใช้เวลาตรวจ ประมาณ 1 ชั่วโมง

ตรวจภูมิคุ้มกันโควิด ไม่ใช่การสร้างภูมิคุ้มกัน!!

การตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันโควิด นั้นไม่ใช่การตรวจเพื่อหาเชื้อ และไม่มีส่วนช่วยในการเพิ่มระดับภูมิในร่างกายแต่อย่างใด เป็นเพียงการวัดระดับภูมิเท่านั้น เพราะเหตุนี้การปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัยในช่วงวิกฤติยังถือว่ามีความสำคัญสำหรับผู้เข้ารับการตรวจ ผู้ที่ทำการตรวจต้องหมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง และสวมใส่หน้ากากอนามัยตามปกติ

การตรวจภูมิคุ้มกันโควิดมีประโยชน์อย่างไร ?

  • ช่วยลดและป้องกันการติดเชื้อ
  • หากติดเชื้อจะลดความรุนแรงของโรคไปได้มาก
  • เนื่องจากระดับภูมิคุ้มที่สูงพอจะช่วยยับยั้งการรุกรานของไวรัสได้ทันท่วงที
  • ตามธรรมชาติ หลังการติดเชื้อหรือรับวัคซีน ระดับภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา ซึ่งภูมิตั้งต้นที่มีระดับสูงการลดลงจะใช้เวลานานกว่า ทำให้สามารถป้องกันได้มากกว่า
  • ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปนานแล้ว อาจจะยังติดเชื้อได้ แต่ก็อาจจะไม่แสดงอาการรุนแรง เพราะมีภูมิที่ร่างกายสร้างขึ้นมาต่อสู้กับไวรัสได้ในภายหลัง
  • แม้ว่าเชื้อกลายพันธุ์จะมีความจำเพาะต่อภูมิต้านทานต่อวัคซีนลดลง แต่ภูมิต้านทานในระดับสูงยังมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีในระดับหนึ่ง

คำถามที่พบบ่อย

  • Q : ควรตรวจภูมิคุ้มกันโควิด เมื่อไหร่ ?
  • A : ควรตรวจหลังรับวัคซีน ครบ 2 โดส แล้วประมาณ 4 สัปดาห์

 

  • Q : ใครบ้าง ? ที่ควรตรวจภูมิคุ้มกันโควิด
  • A : ผู้ที่ต้องการทราบระดับภูมิต้านทานตอบสนองต่อการฉีดวัคซีนหรือหลังติดเชื้อ
    ผู้ที่ต้องการทราบความสามารถของภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสโควิด

 

  • Q : เตรียมตัวอย่างไรก่อนตรวจภูมิคุ้มกันโควิด
  • A : ควรตรวจหลังฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 4 สัปดาห์ แต่ไม่ควรนานเกิน 3 เดือน และไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร

ตรวจภูมิคุ้มกันโควิดในเชียงใหม่ได้ที่ไหน?

การตรวจภูมิคุ้มกันโควิดเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทราบระดับภูมิหลังฉีดวัคซีนของตนเองเท่านั้น กรณีที่ต้องการรับการตรวจสามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ หากต้องการปรึกษาข้อมูลหรือรับคำแนะนำด้านนี้ทาง Hugsa Clinic ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำเช่นกันครับ

สรุปแล้วการ “ตรวจภูมิคุ้มกันโควิด” หลังฉีดวัคซีน ไม่ใช่การตรวจเพื่อความสบายใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ท่านทราบภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยในการพิจารณาการเข้ารับวัคซีน แต่อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรักษาระยะห่าง ในช่วงที่ยังมีการระบาดของโรคโควิด ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราทุกคนปลอดภัยจากการติดเชื้อ

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ติดต่อเรา