ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันเอชไอวี

ในโลกปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางการแพทย์เป็นอย่างมาก ช่วยปรับปรุงสุขภาพ และความเป็นอยู่ของเราอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือต้องรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการดูแลสุขภาพ นวัตกรรมอย่างหนึ่งคือ ยาเพร็พ เป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ในการป้องกันเอชไอวี ทำให้มีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวี ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงคุณประโยชน์ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเพร็พ คืออะไร และ เพร็พ มีบทบาทสำคัญในสุขภาพทางเพศได้อย่างไร

เพร็พ (PrEP) คืออะไร ?

เพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาต้านไวรัสที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ก่อนการสัมผัสเชื้อ โดยผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถรับประทานยาเพร็พ เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 เม็ด เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชไอวี จากกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่รู้ว่ามีเชื้อเอชไอวีหรือไม่

ยาเพร็พ (PrEP) ทำงานอย่างไร?

โดยพื้นฐานแล้ว เพร็พ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันจากเชื้อไวรัสเอชไอวี ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถป้องกันเอชไอวีได้เกือบ 100 % หากมีวินัยในการทาน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือเพร็พ (PrEP) ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) อื่นๆได้ จึงจำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันที่ครอบคลุม

เพร็พ (PrEP) มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ?

เพร็พ (PrEP) มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

เพร็พ (PrEP) ประกอบไปด้วยยาต้านไวรัสสองชนิดเป็นหลัก ได้แก่

  • tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
  • emtricitabine (FTC)

โดยทั่วไปยาเหล่านี้จะรวมกันอยู่ในเม็ดเดียว

ผู้ที่ควรใช้ ยาเพร็พ (PrEP)

  • ผู้ที่คู่นอนมีเชื้อเอชไอวี
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์ชาย
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเอชไอวีเป็นประจำ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่รู้ว่ามีเชื้อเอชไอวีหรือไม่
  • ผู้ที่มาขอรับบริการ Post-Exposure Prophylaxis (PEP) อยู่เป็นประจำ

การทานเพร็พ (PrEP) มีกี่แบบ ?

การทานเพร็พ (PrEP) มีกี่แบบ

ยาเพร็พ แบบรายวัน

  • ทานวันละ 1 เม็ด ตรงเวลาทุกวัน
  • ต้องรับประทานก่อนมีความเสี่ยงอย่างน้อย 7 วัน
  • เหมาะกับคนที่วางแผนการมีเพศสัมพันธ์ของตัวเองไม่ได้ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงเป็นประจำ

ยาเพร็พตามความต้องการ

  • เหมาะกับคนที่รู้ว่าตัวเองจะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไหน
  • ไม่จำเป็นต้องกินทุกวันแบบเพร็พรายวัน
  • โดยสูตรในการกินคือ
    • 2 เม็ดแรก กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2 – 24 ชั่วโมง
    • 1 เม็ด กินหลังกินยาครั้งแรก 24 ชั่วโมง
    • 1 เม็ด กินหลังกินยาครั้งแรก 48 ชั่วโมง

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากเพร็พ (PrEP)

  • อาการคลื่นไส้ : บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย ซึ่งมักจะทุเลาลงเมื่อเวลาผ่านไป
  • อาการปวดหัว : อาการปวดหัวเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
  • การทำงานของไต : เพร็พ อาจส่งผลต่อการทำงานของไต ดังนั้นจึงแนะนำให้มีการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

ยาเพร็พ (PrEP) และ ยาเป๊ป (PEP) ต่างกันอย่างไร ?

ยาเพร็พ (PrEP) ยาเป๊ป (PEP)
ยาต้านไวรัส “ก่อน” การสัมผัสเชื้อ ยาต้านไวรัส “หลัง” การสัมผัสเชื้อ
ทานก่อนมีความเสี่ยง 7 วัน ทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังการสัมผัสเชื้อ
ทานวันละ 1 เม็ด ทานวันละ 1 เม็ด
ทานทุกวันให้ตรงเวลา ทานต่อเนื่อง 28 วัน
เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงประจำ เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านความเสี่ยง

รับยาเพร็พ (PrEP) เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

รับยาเพร็พ (PrEP) เชียงใหม่ ได้ที่ไหน

สำหรับท่านไหนที่ต้องการรับยาเพร็พ (PrEP) ยาต้านไวรัส ก่อน สัมผัสเชื้อ ในจังหวัดเชียงใหม่ ขอแนะนำ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ที่ให้บริการยาเพร็พ (PrEP) ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา เกี่ยวกับการใช้ยาต้านเอชไอวีรวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพื่อให้ชาวเชียงใหม่ได้เข้าถึงการป้องกัน และการรักษาเอชไอวี ที่มีประสิทธิภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น ทุกข้อมูลส่วนตัวจะเป็นความลับอย่างแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

ช่องทางการติดต่อ

  • ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่
  • เปิดบริการทุกวัน
    • จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.
    • เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988
  • แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me

เพร็พ (PrEP) คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ก่อนสัมผัสเชื้อ ก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยง ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล (คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผล HIV เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น