เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คำว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” เชื้อไวรัสชนิดนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถต้านการติดเชื้อต่างๆได้ เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง ภาวะที่เชื้อทำลายภูมิคุ้มกันจนไม่สามารถต้านทานโรคต่างๆได้นี้ เรียกว่าภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ เมื่อผู้นั้นติดเชื้อเอชไอวีแล้ว จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกจากร่างกายได้ แต่สามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้โดยการรับการรักษา
Table of Contents
เอชไอวี ติดต่อทางไหนบ้าง?
สาเหตุของการติดเชื้อเชื้อเอชไอวีที่พบบ่อย คือ มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีทางช่องคลอดหรือทวารหนักโดยไม่ป้องกัน รวมถึงใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีด้วย ส่วนสาเหตุอื่นของการติดเชื้อเอชไอวีที่อาจพบได้บ้าง คือ การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ทั้งการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ติดเชื้อระหว่างที่คลอด หรือติดเชื้อผ่านการให้นมบุตร รวมถึงหากเป็นผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับอุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวีอย่างของมีคมหรือเข็มฉีดยาก็อาจเสี่ยงได้รับเชื้อนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เชื้อเอชไอวีไม่สามารถติดต่อผ่านทางน้ำลาย น้ำตา เหงื่อ น้ำ อากาศ หรือสัตว์เลี้ยง ดังนั้น การถูกยุงกัด การกอดหรือสัมผัสเหงื่อของผู้ที่มีเชื้อ การใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรือการใช้อากาศหายใจร่วมกับผู้ป่วยนั้น ไม่ทำให้ติดเชื้อได้
เอชไอวี มีกี่ระยะ?
เอชไอวีจะแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะที่เกิดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีเชื้ออยู่ในเลือดเป็นจำนวนมาก และแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย ในช่วงแรกอาจมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายจากการติดเชื้อ
- ระยะอาการสงบ เป็นระยะที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนของเชื้ออยู่ในปริมาณต่ำ ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็น แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้หากไม่ระมัดระวัง ทั้งนี้ ระยะอาการสงบนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล เพราะผู้ป่วยในระยะอาการสงบบางรายอาจต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอาการและลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
- ระยะเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) หากผู้ป่วยไม่รับประทานยาหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เชื้อเอชไอวีเพิ่มจำนวนขึ้นและทำลายภูมิคุ้มกัน เป็นเหตุให้อาการของผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเอดส์ซึ่งเป็นระยะที่มีความรุนแรงที่สุดในการติดเชื้อเอชไอวี เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส
อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ช่วงประมาณ 14-28 วันแรกที่ได้รับเชื้อเอชไอวี จะเป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อ สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย มีอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ และจะไม่แสดงอาการอีกในระยะเวลาหลายปี อาการคือจะเริ่มมีไข้ หนาวสั่น ไอเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อย เมื่อยล้าตามตัว ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังเป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ รอยฟกช้ำเป็นจุด ต่อมน้ำเหลืองบวม น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง เหงื่อออกมากผิดปกติ
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ทำได้ดังนี้
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันการติดโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ด้วย
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ใช้ยา PrEP เพื่อป้องกันเชื้อเอชไอวี
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- สำหรับการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารก สามารถตรวจเลือดก่อนตั้งครรภ์ได้ โดยแพทย์จะให้คำแนะนำอย่างละเอียด
วิธีการรักษาเอชไอวี
ในปัจจุบัน ถึงแม้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติแล้ว เพราะมีวิธีการรักษาที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก โดยถ้าเริ่มสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงแล้ว สามารถเข้ารับการตรวจฟรีได้ทั่วประเทศ เกือบทุกที่จะเก็บเป็นความลับด้วยนะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองที่บ้านอีก สะดวกสุดๆเลยครับ และเมื่อเราพบว่ามีเชื้อเอชไอวีจะเริ่มรักษาอย่างไร เริ่มจากเข้ารับการตรวจกับแพทย์ แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน คือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเท่านั้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด ผู้ติดเชื้อต้องกินยาให้ตรงเวลาทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพราะยาจะไปทำการยับยั้งการแบ่งตัวและการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ถ้าหยุดกินเมื่อไหร่ก็จะทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและแพร่กระจาย
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ




