หากพูดถึงไวรัสตับอักเสบซี โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะไม่ทราบมาก่อนว่ามีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย จะทราบได้ก็ต่อเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ และตรวจเลือดพบการติดเชื้อ สำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัวประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ มีการแบ่งตัวและไปอยู่ในตับ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อระยะแรกจะเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน อาการจะไม่รุนแรง เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจมีอาการเหมือนโรคทั่วไป เช่นเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง อ่อนเพลีย หรือมึนงง ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบ เป็นสาเหตุให้ผู้ติดเชื้อปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง โรคจะดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะตับแข็ง ซึ่งอาจกินเวลานานเป็น 10 – 30 ปี บางรายกว่าผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ก็เป็นระยะสุดท้ายของโรคตับแข็งแล้ว ซ้ำร้ายในผู้ป่วยบางรายอาการตับแข็งยังส่งผลให้เกิดมะเร็งตับอีกด้วย

ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร ?

ไวรัสตับอักเสบซี คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจามหรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน

เชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกายจะแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ ระยะแรกทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักจะมีอาการไม่มาก ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่ามีตับอักเสบ โดยประมาณเกือบ 8% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีการติดเชื้อเรื้อรังและตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีอาการชัดเจน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจึงเข้าสู่ระยะตับแข็ง และอีกสิบปีต่อมาจึงถึงระยะท้ายของโรคตับแข็ง เมื่อมีโรคตับแข็งเกิดขึ้นจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 1-3% ต่อปี (ใน 100 คนที่เป็นโรคตับแข็งจากไวรัสซี ถ้าติดตามไป 1 ปีจะมี 3 คนเป็นมะเร็งตับ)

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี

ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ หากตรวจพบเชื้อแพทย์ก็จะส่งตรวจทำอัลตราซาวนด์ตับเพื่อดูว่ามีร่องรอยของตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่ ในกรณีที่ผลของอัลตราซาวนด์ยังไม่ชัดเจน แพทย์ก็จะส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มเติม สำหรับในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อตับโดยใช้เข็มขนาดเล็กเข้าไปตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อตับมาตรวจดูทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นการตรวจวิเคราะห์โรคที่แม่นยำอีกวิธีหนึ่งก่อนจะทำการรักษา

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี

โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสจะมีอาการคล้ายๆกัน คือ ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง บวม มีน้ำในช่องท้อง ปวดชายโครงขวา ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ ตับม้ามโต การที่จะแยกว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใดนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงจะทราบ แต่ที่น่าสังเกตคือโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และจะหายได้ภายในเวลา 6 เดือน ถ้าหากมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรังก็มักจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี

โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่หลังติดเชื้อแล้วภายในเวลา 10 ปีแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ยกเว้นส่วนน้อยที่อาจมีอาการของโรคแบบเฉียบพลัน ต่อเมื่อย่างเข้าสู่ 10 ปีที่ 2 ก็จะเริ่มมีอาการของตับอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้น และเมื่อ 30 ปีผ่านไป ตับจะถูกทำลายมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการของตับแข็งปรากฏให้เห็น แล้วผู้ป่วยจำนวนหนึ่งก็จะเป็นมะเร็งตับ เรียกว่ากว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลาหลายสิบปี โดยที่โรคจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคอันตรายซ่อนแฝงอยู่ถ้าไม่ได้ตรวจเลือด ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 15-20% อาจหายจากโรคได้เอง แต่ส่วนใหญ่ 75-85% จะเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด

ใครเสี่ยงที่จะเป็นไวรัสตับอักเสบซี

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบซีติดต่อกันทางเลือด บุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสได้รับเชื้อจึงมีได้หลากหลาย ดังนี้

  • ผู้ที่เคยได้รับเลือดและสารเลือดก่อนปี พ.ศ.2535 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
  • ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ.2535
  • ผู้ที่มีการฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด ถึงแม้ว่าทดลองใช้เพียงครั้งเดียว
  • ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • ผู้ที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
  • ผู้ที่มีผลเลือดการทำงานของตับพบการอักเสบ
  • ผู้ที่ติดยาเสพติดใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจากการทำฟัน
  • ผู้ที่สำส่อนทางเพศหรือรักร่วมเพศ
  • ผู้ที่มีการสักตามตัว การใช้เข็มที่ติดเชื้อโรคสักผิวหนัง เจาะหู ฝังเข็ม
  • ผู้ที่มีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มตำจากผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
  • การใช้ของส่วนตัวที่เปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บ
  • ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (ติดได้แต่พบน้อย)

วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

หลักสำคัญในการป้องกันไวรัสตับอักเสบซีคือหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเสี่ยงของการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช้มีดโกนหนวด ยาสีฟันร่วมกัน หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตามเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ติดต่อทางการรับประทานอาหารร่วมกัน การใช้จามชาม ช้อนส้อมด้วยกัน การให้นมบุตร การกอด หรือการจูบ รวมถึงไม่ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือไอ จาม รดกัน

การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี

แพทย์จะพิจารณาตามภาวะของโรคและโรคร่วมต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็น โดยโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้โดยการรับประทานยาร่วมกับยาฉีด สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาดอย่างถาวร โดยประเมินจากจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดหลังการรักษา ซึ่งจะช่วยให้อาการตับอักเสบดีขึ้นและหายไป ป้องกันไม่ให้เกิดตับแข็งและมะเร็งตับ หากคุณต้องการตรวจ หรือรักษา ไวรัสตับอักเสบซี หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเขินอายในการเข้ารับการตรวจ สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือรักษา ได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำและปรึกษา

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ติดต่อเรา