ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อร่างกายของเราอย่างมาก หากตับเกิดการอักเสบหรือเสียหาย ตับก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับสุขภาพของร่างกาย สาเหตุใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ตับของเราเกิดการอักเสบก็คือ ไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 70–75 ของมะเร็งตับในคนไทยเกิดจากไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง และ โรคไวรัสตับอักเสบถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 โรคติดเชื้อที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุด ซึ่งในประเทศไทยพบว่ามีผู้เป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังกว่า 3.5 ล้านคน

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี คือ การอักเสบของเซลล์ตับที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับชนิด บี (HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีแนวโน้มเกิด ภาวะตับอักสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ มีประวัติเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อกันได้ 4 ช่องทางหลักๆ คือ

  1. จากแม่สู่ลูก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในประเทศไทย การติดต่อนี้จะมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อได้ในระหว่างคลอด จึงควรมีการตรวจเลือดมารดาระหว่างที่ฝากครรภ์ ถ้าพบว่ามารดามีเชื้อนี้อยู่ ควรให้วัคซีนและสารภูมิต้านทาน (อิมมูโนโกลบูลิน) ในทารกตั้งแต่แรกเกิดเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้
  2. ทางเลือด โดยได้รับเชื้อจากการได้รับเลือดจากผู้ที่เป็นพาหะของโรคนี้ ปัจจุบันพบการติดต่อทางนี้น้อยลง เพราะมีการตรวจเลือดก่อนที่จะนำมาให้ผู้ป่วยเสมอ
  3. ทางเพศสัมพันธ์ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสจะติดโรคได้สูงถึงร้อยละ 30–50
  4. การใช้อุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนของเลือดร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด แปรงสีฟัน การสัก เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • เจาะเลือดตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test)
  • เจาะเลือดตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    • HBsAg (แอนติเจนไวรัสตับอักเสบบี): ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยกำลังมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    • Anti-HBS (ภูมิคุ้มกันต่อ HBsAg): ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและหายจากโรคแล้ว ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันจึงไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น และไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอีก
    • การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน หากพบว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น “โรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
  • การตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ แพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเพื่อเก็บชิ้นเนื้อจากตับ การตรวจนี้ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย ทำเฉพาะในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่ต้องการติดตามการดำเนินไปของโรค เช่น ต้องการทราบภาวะพังผืดในตับและการอักเสบของเซลล์ตับ ซึ่งจะมีผลในการเริ่มต้นการรักษา หรือสงสัยมะเร็งตับ เป็นต้น

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

  1. ระยะเฉียบพลัน
  • ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ ดังนี้
    • อาการไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
    • อาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผื่น ปวดข้อ
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้
  • อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
  1. ระยะเรื้อรัง
  • ระยะเรื้อรังแบ่งผู้ป่วยได้เป็น 2 กลุ่มคือ
    • พาหะ คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผลการตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนั้นก่อนแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีก่อน
    • ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย และตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ
  • ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือเบื่ออาหารได้
  • การติดเชื้อแบบเรื้อรังพบบ่อยในเด็กที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด

ป้องกันตนเองจากไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างไร

  • ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรตรวจเช็คตับปีละ 1 ครั้ง และตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นระยะ
  • ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ หากร่างกา ยยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
  • ไม่ควรรับประทานยาพร่ำเพรื่อติดต่อกันเป็นเวลานาน หากไม่ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย

**วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี คือ การสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งหากร่างกายมีภูมิแล้ว จะป้องกันการติดเชื้อได้**

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

  1. การใช้ยาชนิดรับประทาน ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี
  2. การใช้ยาฉีดเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานของผู้ป่วย ที่เรียกว่า ยาฉีดเพ็กไกเลดเตด อินเตอร์เฟียรอน (pegylated interferon) ยาตัวนี้มีฤทธิ์ไปกระตุ้นภูมิต้านทานของผู้ป่วยให้ต่อสู้ควบคุมไวรัสตับอักเสบบีเป็นหลัก แต่ก็มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสบ้าง การรักษาด้วยยาฉีดเพ็กไกเลดเตด อินเตอร์เฟียรอน จะใช้เวลารักษานาน 48 สัปดาห์ สามารถได้ผลตอบสนองระยะยาว 6 เดือน ประมาณร้อยละ 33–40 หลังหยุดฉีดยาแล้วภูมิต้านทานของผู้ป่วยที่ถูกกระตุ้นไว้ ยังคงออกฤทธิ์ต่อสู้กับไวรัสอยู่จึงสามารถมีการตอบสนองเพิ่มขึ้น อีกประมาณร้อยละ 14 หลังหยุดการรักษาไปแล้ว 1 ปี ผลตอบสนองจากการรักษาด้วยยาฉีดอินเตอร์เฟียรอนมักอยู่นาน โอกาสการกลับเป็นซ้ำน้อยกว่ายากินต้านไวรัส

สิ่งที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับโรคทุกชนิดก็คือ การป้องกัน หากคุณต้องการหยุดการแพร่ของไวรัสตับอักเสบบี การฉีดวัคซีนเป็นคำตอบของเรื่องนี้ และเนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดการเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้คุณและครอบครัวของคุณได้ปลอดภัยจากโรคไวรัสตับอักเสบบี

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ติดต่อเรา