เอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ (AIDS) คือระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและมีโรคแทรกซ้อนได้ เชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง ทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อของโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น รวมถึงมะเร็งบางชนิด ซึ่งมีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนปกติ และบางครั้งอาการอาจจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป จนเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตได้
Table of Contents
ใครที่ควรไปตรวจเลือด
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความเสี่ยงโดยไม่ได้สวมถุงยาง
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายทางทวารหนักโดยไม่ได้สวมถุงยาง
- ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- ผู้ติดสารเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกัน
- หญิงตั้งครรภ์ที่เข้ามาฝากครรภ์ที่สถานพยาบาล
- ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ป่วยวัณโรค
- ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี มี 4 แบบหลักๆ คือ
- การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี จะทำการตรวจโปรตีนของเชื้อที่ชื่อว่า p24 (HIV p24 antigen testing) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ตรวจการติดเชื้อในระยะแรกที่ผู้ได้รับเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) หรือมีระดับแอนติบอดีที่ต่ำจนไม่สามารถตรวจวัดได้ โดยสามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน
- การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV testing) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในปัจจุบัน โดยสามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อประมาณ 3-4 สัปดาห์
- การตรวจโดยใช้ชุดตรวจแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อเอชไอวีและแอนติเจนของเชื้อพร้อมกันในน้ำยาเดียวกัน (HIV Ag/Ab combination assay) หรือเรียกอีกอย่างว่าน้ำยาตรวจแบบ Fourth generation เป็นการตรวจ Anti-HIV และ/หรือ HIV p24 antigen ในคราวเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันน้ำยาประเภทนี้มีการใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจคัดกรองผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยสามารถตรวจพบการติดเชื้อได้เร็วที่สุด 14-15 วัน หรือ 2 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
- การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวีหรือ nucleic acid test (NAT) เป็นวิธีที่มีความไวมากที่สุด โดยสามารถตรวจการติดเชื้อได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังการติดเชื้อ ปัจจุบันวิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิตแต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล
ความหมายของผลตรวจเลือดเอชไอวี
- Non-reactive หรือ Negative คือ ผลเลือดเป็นลบ ไม่มีการติดเชื้อ ตรวจแล้วไม่พบเชื้อเอชไอวี
- Reactive หรือ Positive คือ ผลเลือดเป็นบวก มีการติดเชื้อ พบเชื้อเอชไอวีในร่างกาย
- Invalid คือ ไม่สามารถแปลผลได้ การตรวจไม่ถูกต้อง หากผลตรวจออกมาเป็น Invalid จะต้องมีการตรวจอีกครั้ง เพื่อหาผลที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตามต้องระวังผลบวกปลอม (False positive) คือ อาจจะไม่ได้ติดเชื้อ แต่ผลตรวจออกมา positive พบได้น้อยมากในกรณีดังกล่าว และระวังผลลบปลอม (False negative) คือ มีการติดเชื้อ แต่ผลตรวจออกมาเป็น negative กรณีเกิดขึ้นได้เนื่องจากช่วงเวลาที่เราตรวจอาจเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระยะฟักตัวของเชื้อ เรียกระยะนี้ว่า Window period
ดังนั้นทั้งสองกรณี แนะนำให้ตรวจซ้ำที่ 3-6 เดือน อีกครั้ง หรือหากได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วก็สามารถสบายใจได้
ขั้นตอนการตรวจเอชไอวีมีอะไรบ้าง?
- แต่ละสถานที่อาจมีกระบวนการทำประวัติต่างกัน
– หน่วยบริการของรัฐจะขอบัตรประชาชนเพื่อทำประวัติและตรวจสอบสิทธิ์
– ศูนย์ดรอปอินอาจขอชื่อและวันเกิดเพื่อออกรหัสการใช้บริการและขอข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยง
– คลินิคนิรนามอาจไม่ต้องให้ชื่อและเลขบัตรประชาชน แต่ก็ต้องกรอกประวัติด้านพฤติกรรมด้วย - กระบวนการตรวจเอชไอวีจะใช้เวลาประมาณ 20 – 40 นาที เจ้าหน้าที่จะช่วยประเมินความเสี่ยงและทำความเข้าใจเรื่องเอชไอวี จากนั้นจะให้ตัดสินใจว่าจะตรวจเอชไอวีหรือไม่ หากสนใจตรวจ เจ้าหน้าที่จะให้เซ็นชื่อในใบยินยอมเพื่อตรวจเอชไอวี
- จากนั้นจึงจะทำการเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- เจ้าหน้าที่อาจนัดมาฟังผลตรวจในวันอื่น หรือบางที่อาจแจ้งผลได้ภายในวันเดียวกันนั้นเลย
- หลังจากได้ผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้บริการปรึกษาอีกครั้งก่อนรับฟังผลเลือด และให้คำแนะนำเกี่ยวกับความหมายของผลตรวจ วางแผนการดูแลตนเองและแผนในการใช้ชีวิต
- หากพบว่ามีเชื้อ เจ้าหน้าที่จะแจ้งผลเลือดพร้อมตอบคำถามที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์
ประโยชน์ของการตรวจ เอชไอวี
- เข้ารับการรักษาได้ทันที ไม่ต้องรอให้แสดงอาการ
- เพื่อทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถทำงานได้อย่างปกติ
- สามารถวางแผนป้องกันคู่ของตนเองจากการติดเชื้อ และชวนคู่ไปตรวจเลือดได้
- สามารถวางแผนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปสู่ลูกได้
- เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ และเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
- ช่วยลดความกังวลใจ และทำให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และการป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
- หากคุณติดเชื้อ ก็จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดการป่วยจากโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค และลดการเสียชีวิตลง
- สามารถลดโอกาสในการพัฒนาเป็นโรคเอดส์ได้อย่างมาก
ตรวจเอชไอวีได้ที่ไหน ?
เอชไอวียิ่งตรวจพบได้เร็ว ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาเร็ว หากคุณได้รับความเสี่ยงมาหรือต้องการรับการตรวจคัดกรองเอชไอวี หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเขินอายในการเข้ารับการตรวจ สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา