ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากแล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี สำหรับในประเทศไทยอาจพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว

ไวรัส RSV อาการเป็นอย่างไร ?

ช่วงแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาเช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่แข็งแรงดีอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่สำหรับเด็กเล็ก (ต่ำกว่า 3 ปี) ที่ติดเชื้อครั้งแรกพบร้อยละ 20-30 ที่มีอาการโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม เนื้อปอด) ทำให้เกิดหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบตามมาได้ โดยมักแสดงอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีดหวิว หรือ เสียงครืดคราดในลำคอ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 1-3 ปี เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กที่คลอดก่อนกำหนด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

ไวรัส RSV  อาการต่างจากโควิด 19 อย่างไร ?

เมื่อเรารู้อาการของการติดเชื้อเชื้อไวรัส RSV แล้ว จะเห็นได้ว่าอาการคล้ายกับการป่วยเป็นไข้หวัดทั่วไปรวมถึงโรคโควิด 19 แต่การติดเชื้อไวรัส RSV จะมีอาการบางอย่างที่ต่างจากโควิด 19 ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

อาการของโรคโควิด 19

  • มีไข้สูง
  • ไอ
  • มีน้ำมูก
  • เจ็บคอ
  • หายใจเหนื่อยหอบ
  • จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส

แต่หากติดเชื้อ RSV จะมีไข้สูงเช่นกัน แต่อาการไอจะพบว่ามีเสมหะมาก ในบางรายอาจไอมากจนอาเจียน เหนื่อยหอบหายใจแรงจนมีเสียงหวีด และมีอาการตัวเขียว ไม่พบอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส

ไวรัส RSV ติดต่อได้อย่างไร ?

การติดต่อของเชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อผ่าน สารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ละอองจากการไอ จาม โดยเฉพาะการติดต่อจากการสัมผัส ซึ่งหากเด็กได้รับเชื้อ ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน โดยในช่วง 2 – 4 วันแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล เมื่อการดำเนินโรคมีมากขึ้นส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบตามมา ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ในบางรายเกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงครืดคราด มีเสมหะในลำคอมาก ๆ

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการติด ไวรัส RSV

การติดเชื้อ RSV สามาถเกิดขึ้นได้กับทุกวัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่กลุ่มเสี่ยงสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหอบหืด
  • ทารกที่คลอดก่อนกำหนด
  • เด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี
  • ผู้ที่เข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
  • ทารกที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่แออัด
  • เด็กเล็กที่เป็นโรคหัวใจหรือโรคปอดตั้งแต่กำเนิด
  • เด็กที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เด็กที่ได้รับเคมีบำบัดหรือได้รับการปลูกถ่ายกระดูก
  • ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคหอบหืด

ไวรัส RSV ป้องกันอย่างไร ?

การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ทำได้โดย การรักษาความสะอาด ผู้ปกครองควรดูแลความสะอาดให้ดี หมั่นล้างมือตัวเองและลูกน้อยบ่อย ๆ เพราะการล้างมือสามารถลดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้ถึงร้อยละ 70 ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ปกติแล้วในผู้ใหญ่มักไม่ติดเชื้อโรคนี้ เพราะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ แต่ผู้ใหญ่มีโอกาสสัมผัสเชื้อนี้ได้ และหากไม่ล้างมือให้สะอาดก็อาจทำให้เด็กเล็กติดเชื้อจากผู้ใหญ่ได้

การรักษาไวรัส RSV

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเชื้อไวรัส RSV มีแค่รักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมหรือน้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก
ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokhospital, pidst, muangthai

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ติดต่อเรา