ตรวจสุขภาพประจำปี ดีอย่างไร

ตรวจสุขภาพประจำปี คือ การตรวจค้นหาโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ซ่อนตัว ระยะเพาะเชื้ออยู่ในร่างกายเรา โดยที่ร่างกายยังไม่แสดงอาการผิดปกติอะไร การตรวจพบตั้งแต่เริ่มต้น ดีกว่าการรักษาในระยะที่ร้ายแรงหรือรุกรามไปมากแล้ว ในยุคปัจจุบันมีสิ่งกระตุ้นที่มีผลต่อความผิดปกติกับร่างกายของเราเป็นอย่างมาก โรคบางชนิดไม่แสดงอาการจนกระทั่งสายเกินแก้ อาจจะสูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอช่วยให้อุ่นใจและคลายกังวลจากปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อดีของการตรวจสุขภาพประจำปี

การตรวจสุขภาพประจำปี ไม่เพียงแต่ช่วยค้นหาโรคภัยต่าง ๆ เท่านั้น ข้อมูลจากการตรวจสุขภาพยังสามารถบอกถึง ความแข็งแรง และความสมบูรณ์ของสุขภาพร่างกายในปัจจุบันด้วย และยังเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนสุขภาพในอนาคต เช่น วางแผนการรับประทานอาหาร ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การวางแผนออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การผักผ่อน ซึ่งเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และทำให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีตามมา

ตรวจสุขภาพประจำปี ใครบ้างที่ควรตรวจ ?

การตรวจสุขภาพประจำปี สำคัญสำหรับทุกคน เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้เราได้รู้จักร่างกายของตนเองว่ามีจุดบกพร่องตรงจุดไหนหรือไม่ หากมีเราจะสามารถรักษาได้ทันเวลา โดยปกติแล้วการตรวจร่างกายควรจะเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป แต่ในกรณีที่มีความสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงโรค ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้ทันทีเช่นกัน เพราะบางโรคต้องพึ่งเวลาในการรักษาที่รวดเร็ว

ตรวจสุขภาพประจำปี ต้องตรวจอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพประจำปี ต้องตรวจอะไรบ้าง ?

แต่ละช่วงวัย จะมีการตรวจที่แตกต่างกันเพื่อให้ครอบคลุมโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ตามอายุ โดยมีตัวอย่างตามช่วงวัยดังนี้ 

การตรวจที่แนะนำ
ต่ำกว่า 30 ปี 30-39 ปี 40-49 ปี 50-59 ปี 60 ปีขึ้นไป
การซักประวัติทางสุขภาพ สอบถามประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ประวัติการใช้ยา
การตรวจเบื้องต้น เช่น การตรวจความดันโลหิต ตรวจหาดัชนีมวลกาย
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ได้แก่ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด เพื่อหาความผิดปกติของของเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง ภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) และน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เพื่อประเมินความเสี่ยง และคัดกรองโรคเบาหวาน
ตรวจระดับไขมันในเลือด เพื่อดูระดับคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และไตรกลีเซอไรด์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
ตรวจระดับกรดยูริก เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคเก๊าท์
ตรวจการทำงานของไต เช่น ครีเอตินิน (creatinine) ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อ และ ค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) ซึ่งเป็นของเสียจากการย่อยสลายโปรตีน ทั้งสองตัวนี้ช่วยเพื่อประเมินความสามารถในการขับของเสียของไต
ตรวจการทำงานของตับ เป็นการตรวจดูเอ็นไซม์และสารต่างๆ ในเลือด เพื่อหาภาวะตับอักเสบ ภาวะดีซ่าน
ตรวจไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี โดยตรวจจากส่วนประกอบของเชื้อ (HBsAg) และระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ (HBsAb)
ตรวจปัสสาวะ ช่วยในการวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะเบื้องต้น รวมถึงโรคเบาหวาน
ตรวจอุจจาระ ช่วยในการวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินอาหารเบื้องต้น เช่น ภาวะการอักเสบติดเชื้อในลำไส้ พยาธิ รวมถึงตรวจหาภาวะเลือดปนในอุจจาระซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ริดสีดวงทวาร มะเร็งทางเดินอาหารและลำไส้
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการประเมินการทำงานของหัวใจในขณะพัก เพื่อดูความผิดปกติเช่นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เอกซเรย์ปอด เพื่อดูความผิดปกติในช่องทรวงอก เช่น ขนาดของหัวใจ  วัณโรคและโรคต่างๆ ของปอด เช่น โรคปอดเกิดจาก PM 2.5 และ Covid-19
ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง ตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายใน เช่น ตับอ่อน ม้าม ตับ ไต รวมถึงมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงและต่อมลูกหมากในผู้ชาย
ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ เช่น TSH และ Free T4
ตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST: Exercise Stress Test) เพื่อตรวจคัดกรองว่ามี เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ หรือไม่ขณะออกแรงและช่วยหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการออกกำลังกาย (ควรงดอาหารมื้อหนักๆ ก่อนทำการตรวจประมาณ 4 ชั่วโมง)
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram : ECHO) เพื่อดูการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ , ขนาดของห้องหัวใจ , การไหลเวียนเลือดในหัวใจ สามารถใช้วินิจฉัยโรคหัวใจแต่กำเนิด, โรคลิ้นหัวใจพิการ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ, โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ (ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร)
การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งทางเดินอาหาร (CEA) การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP)
สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี (CA19-9)
สารบ่งชี้มะเร็งเต้านม (CA15-3) และมะเร็งรังไข่ (CA125) ในสตรี
สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก (PSA) ในสุภาพบุรุษ
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Pap Test) เพื่อดูความผิดปกติของเซลล์และการตรวจหาเชื้อไวรัสมะเร็งปากมดลูก แนะนำในสตรีทุกคนที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปี ส่วนสตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถตรวจทุก 3 ปีได้ ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อไวรัสเอช พี วี (HPV)
การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมพร้อมอัลตราซาวน์เต้านมทุก 1-2 ปี เพราะมะเร็งเต้านมเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย แนะนำให้ตรวจในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
Carotid Duplex Ultrasound การตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอ (Common Carotid Artery) ที่ไปเลี้ยงสมองด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อตรวจดูการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง และคราบหินปูนหรือคราบไขมัน (Plaque) ที่เกาะอยู่ภายในหลอดเลือด เพื่อดูความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือตัน
การส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเทคนิคที่ NBI (Narrow Band Image) ที่สามารถตัดติ่งเนื้อที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่านกล้องได้ในทันที โดยไม่ต้องเปิดหน้าท้อง ช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด ลดระยะเวลาการอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาล ฟื้นตัวได้เร็ว  ลดภาวะแทรกซ้อน ปลอดภัย และที่สำคัญไม่มีแผลเป็นที่จะทำให้ต้องกังวลใจ 45 ปีขึ้นไป
สามารถ
ตรวจได้

ตรวจสุขภาพประจำปี เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

เราทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง การดูแลตัวเองที่มีประสิทธิภาพ คือ การป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค ด้วยการตรวจสุขภาพประจำปี ที่จะสามารถทำให้พบเจอสิ่งผิดปกติในร่างกายได้ก่อนที่จะลุกลามจนยากเกินรักษาได้ สำหรับชาวเชียงใหม่ที่ต้องการตรวจสุขภาพประจำปี สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ ฮักษาคลินิค กลางเวียง เชียงใหม่ ให้บริการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับวุฒิบัตรรับรองจากสถาบันทางการแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ พร้อมให้บริการตรวจโรคทั่วไปต่าง ๆ อย่างครบวงจร วินิจฉัยรวดเร็วและเป็นกันเอง

การตรวจสุขภาพประจำปี เหมือนเป็นกุญแจสำคัญ มีโอกาสได้ดูแลสุขภาพร่างกายของเรา วางแผนการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่เพียงมีอายุที่ยืนยาวแต่อาจรวมไปถึงการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

อ่านบทความอื่นๆ

ติดต่อเรา